เพราะความเหนื่อยล้าของ “การดูแลผู้ป่วย” เราเข้าใจ!
Caregiver burnout
ปัจุบันประเทศไทย เริ่มก้าวเข้าสังคมผู้สูงอายุ อายุขัยของประชากรยาวขึ้น ประชากรสูงอายุก็เพิ่มมากขึ้นตามมา สิ่งที่ตามมาพร้อมอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ ความเจ็บป่วย โรคเรื้อรังต่างๆ
เมื่อผู้ป่วยสูงอายุเริ่มมีภาวะพึ่งพิง ทั้งทุพพลภาพจากความเจ็บป่วย หรือความเสื่อมถอยของร่างกายและสติปัญญา มีความต้องการการดูแลที่เพิ่มมากขึ้น หน้าที่การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุนี้ ก็มักตกเป็นภาระของสมาชิกในครอบครัว โดยเฉพาะผู้หญิง คนสูงอายุ หรือคนโสด ลูกหลานที่ไม่ได้แต่งงานในครอบครัว ซึ่งมีทั้งยินดีดูแล ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ หรืออยู่ในสถานะต้องเสียสละจำยอม รับงานอันหนักอึ้งนี้
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
- ความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้
- มารู้จัก! ภาวะเหนื่อยล้าของผู้ดูแล (Caregiver burden) และ ภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
- 5 สาเหตุก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
- 5 สัญญาณคนดูแลในบ้าน หมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
- คนดูแลก็ Burn out – ป้องกัน แก้ไข บรรเทาอย่างไร?
- 4 คำแนะนำในการป้องกัน แก้ไข บรรเทาภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
- ฝากกำลังใจให้คนดูแล
ความรู้สึกที่ถูกเก็บไว้
การดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังนั้น เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ใช้เวลามาก และสร้างความตึงเครียดสูง นับว่าเป็นงานประจำที่ต้องเสียสละทั้งแรงกาย แรงใจ และเวลา ในฐานะหมอที่ดูแลผู้สูงอายุมายาวนาน เกือบทุกครั้งจะพบว่า “ผู้ดูแลเองก็มีปัญหาชีวิต สุขภาพ การเงิน และชีวิตส่วนตัวของตนเองเช่นกัน เพียงแต่มักไม่ได้พูดออกมา”
เมื่อขาดการช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่น ย่อมเกิดภาวะ “Caregiver burnout” ไม่ต่างจากหนุ่มสาววัยทำงานที่ทำงานหนัก จนเกิดภาวะหมดไฟในการทำงาน กลับหนักกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะหากหมดไฟในการทำงาน ก็อาจลาพัก ลาออก
“แต่หน้าที่การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ คนที่เรารักจะลาออกจากสถานะนี้อย่างไร”
มารู้จัก! ภาวะเหนื่อยล้าของผู้ดูแล และ ภาวะหมดไฟในการดูแล
ภาวะเหนื่อยล้าของผู้ดูแล (Caregiver burden) และ ภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
คือภาวะที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในจิตใจ จากความเครียดเรื้อรังในการดูแลผู้ป่วย ซึ่งส่งผลในทางลบต่อสุขภาพทางกายและสุขภาพทางใจของ “ทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วย/ผู้สูงอายุ” ซึ่งสามารถแสดงอาการใน 3 มิติ
1) ความอ่อนล้าทางอารมณ์ คือ การรับความกดดันมากไปจนรู้สึกหมดพลังที่จะต่อสู้กับปัญหาการดูแลผู้ป่วย
2) การลดทอนความเป็นบุคคล คือ การมีความคิดด้านลบจนเกิดความไม่ใส่ใจต่อการดูแลผู้ป่วย เพิกเฉยต่ออันตรายที่จะเกิดต่อผู้ป่วย ซึ่งหากเกิดความคิดลบนี้ นับว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ
3) การลดความสำเร็จส่วนตน คือ การประเมินตนเองในทางลบ คิดว่าตนเองมีประสิทธิภาพและความสามารถที่ไม่ดีพอในการจัดการการดูแลผู้ป่วย
ซึ่งบุคคลที่เผชิญกับภาวะหมดไฟในการดูแล จะมีความรู้สึกเหนื่อยหน่ายระหว่างวัน ไม่ใช่แค่ตอนช่วยเหลือดูแลผู้ป่วย แต่รวมถึงการคิดถึงเรื่องการดูแลขณะตื่นนอนตอนเช้าก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยหน่ายได้เช่นกัน
5 สาเหตุก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
สรุปสาเหตุหลัก ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหมดไฟในการดูแลผู้ที่เรารัก เกิดขึ้นจากอะไร?
1. ความเหนื่อยทางกาย
ความเหนื่องทางกายสัมพันธ์กับระดับความรุนแรงของการเจ็บป่วยของผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่ติดเตียงช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีคนช่วยพลิกตะแคงตัวทุก 2ชั่วโมง ผู้ดูแลก็เป็นลูกวัย 50ปี ที่มีอาการปวดหลัง เข่าไม่ดีอยู่เดิม การต้องใช้แรงกายในการดูแลผู้ป่วยระยะยาว ย่อมทำให้เกิดการล้าของร่างกาย
2. ความเหนื่อยทางใจ
นอกจากต้องทำงานลักษณะเดิมซ้ำๆทุกวัน ไม่ได้ออกไปพบเจอสังคมเพื่อนฝูงแล้วนั้น ผู้ป่วยบางท่าน ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอัลไซเมอร์ ความจำเสื่อมระยะท้าย มักจะมีปัญหาด้านการควบคุมอารมณ์ มีภาวะสับสนในผู้สูงอายุได้อยู่บ่อยครั้ง ซึ่งย่อมเร่งความท้อใจให้กับผู้ดูแลที่ต้องรับความรุนแรงทางวาจาจากผู้ป่วยแม้เหตุนั้นจะเป็นผลจากตัวโรคผู้ป่วยและผู้ป่วยท่านนั้นเองจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม
3. ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบด้านอื่นที่ผู้ดูแลยังคงต้องจัดการ
เนื่องจากตัวตนในสังคมคนเรานั้น ไม่ได้สวมหมวกแค่ใบเดียว หลายครั้งที่ผู้ดูแลผู้ป่วยเป็นเสาหลักของบ้าน เป็นลูกคนเดียวของครอบครัว เป็นสามีหรือภรรยาของคู่ครอง การที่ยังต้องดูแล รับผิดชอบหน้าที่การงานอื่นๆที่เคยทำมาก่อนหน้า ร่วมกับการรับผิดชอบดูแลผู้ป่วยเรื้อรังนั้น เป็นความท้าทายอย่างมาก และมีความเสี่ยงสูงมากที่จะก่อให้เกิดภาวะหมดไฟในการดูแลตามมาในท้ายที่สุด
ปราศจากการช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
4. ปราศจากการช่วยเหลือจากคนรอบข้าง
การช่วยเหลือจากคนรอบข้างที่จะช่วยแบ่งเบาภาระในการดูแลผู้ป่วย หรือช่วยเหลืองานบ้านอื่นเพื่อให้ผู้ดูแลผู้ป่วยมีเวลาพักผ่อน รวมถึงคอยรับฟังและให้กำลังใจ พูดคุย ถามไถ่ และรับฟังปัญหาของผู้ดูแล ชื่นชม ให้กำลังใจ และแสดงความขอบคุณสำหรับความทุ่มเทของผู้ดูแล เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้ดูแลได้รับทราบถึงคุณค่าในสิ่งที่ตนเสียสละดูแล
5. ไม่ยอมรับข้อจำกัดของตนเอง
ผู้ดูแลหลายท่าน ทุ่มเทให้ผู้ป่วย ผู้สูงอายุที่รักอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายกย่องอย่างมาก แต่การละเลยความต้องการพื้นฐานของตนเอง การพักผ่อน การเข้าสังคม การดูแลปัญหาสุขภาพของตัวผู้ดูแลเอง ไม่แบ่งเวลา ไม่แบ่งเบางานให้สมาชิในครอบครัวท่านอื่น เนื่องจากกังวลว่าจะดูแลได้ไม่ดีเท่าตน จะทำให้การดูแลในระยะยาวนั้นเกิดความเครียดต่อร่างกายและจิตใจสะสมได้
5 สัญญาณคนดูแลในบ้าน หมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้สูงอายุทุพพลภาพนั้น ย่อมมีช่วงเวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ท้อแท้ และเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา เปรียบเสมือนคลื่นที่ซัดสาดเข้าฝั่ง ย่อมมีขึ้นมีลง แต่หากคลื่นแห่งความรู้สึกเหล่านี้โถมเข้าใส่ใจเราอย่างต่อเนื่อง และปัญหาดูจะค่อยๆเพิ่มมากขึ้น จัดการอย่างไรก็ไม่หมดเสียที นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่า “ผู้ดูแลต้องการความช่วยเหลือ”
1. รู้สึกอยากหนี: รู้สึกเหมือนกำลังแบกรับภาระหนักอึ้ง อยากหนีไปให้พ้นจากความรับผิดชอบ ต้องการพักจากการดูแลผู้ป่วย
2. รู้สึกโดดเดี่ยว: รู้สึกเหมือนกำลังเผชิญปัญหาอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครช่วยเหลือ
3. รู้สึกชีวิตวุ่นวาย: ไม่สามารถจัดการกิจวัตรประจำวันเดิมได้ รู้สึกชีวิตยุ่งเหยิง วุ่นวาย สับสน ไม่มีเวลาส่วนตัว ไม่มีเวลาพักผ่อน กิจวัตรประจำวันเปลี่ยนแปลง รูปแบบการกิน อยู่ หลับนอน เปลี่ยนแปลงไป นอนหลับไม่เพียงพอ มีความคิดกังวลเกี่ยวกับตัวโรคผู้ป่วย การจัดการปัญหาของผู้ป่วยอยู่ตลอดเวลา
4. สุขภาพกาย/จิตใจทรุดโทรม: น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ซูบผอม เบื่อหน่าย รู้สึกร่างกายอ่อนแอ มีปัญหาด้านความจำ ไม่มีสมาธิ จดจำสิ่งต่างๆ ได้ยาก หลงลืมแม้แต่สิ่งสำคัญ เช่นวันนัดพบแพทย์ของผู้ป่วย มีอารมณ์แปรปรวน: หงุดหงิด โกรธง่าย อารมณ์ไม่คงที่
5. เริ่มพึ่งพายาหรือสารเสพติด: ต้องใช้ยาหรือสารเสพติดมากขึ้น เช่น ยานอนหลับ เหล้า บุหรี่ หรือมีพฤติกรรมพยายามหาทางออกด้วยวิธีที่ผิด
หากผู้ดูแลมีสัญญาณเตือนเหล่านี้ ควรรีบขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้างหรือผู้มีประสบการณ์
คนดูแลก็ Burn out - ป้องกัน แก้ไข บรรเทาอย่างไร?
“ถ้าคนดูแลผู้ป่วยในบ้าน…ดูจะไม่ไหวแล้ว ควรทำอย่างไรดี?” คำถามนี้เป็นคำถามที่หมอได้รับ จากลูกสาวของผู้ดูแล (caregiver) ท่านหนึ่ง
ที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกวันนั้น ญาติผู้ป่วยท่านนี้ ในฐานะหลานสาวผู้ป่วย ลูกสาวของผู้ดูแล ซึ่งเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ในสภาวะที่ “คุณย่าก็รัก ส่วนคุณแม่ก็ห่วง” ไม่รู้จะแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งนี้ได้อย่างไร อีกทั้งยังระบายความในใจเพิ่มเติมว่า…เพราะเหมือนว่าคนในบ้าน ลูกหลานคนอื่นก็ไม่เห็นมาสนใจอะไร แม่ของตนในฐานะลูกสะใภ้กลับเป็นคนดูแลจัดการทุกอย่าง ทั้งกลางวันและกลางคืน
หมอคงต้องบอกว่า คำถามที่ได้รับน่าตกใจ แต่ไม่ถึงกับน่าแปลกใจไปสะทีเดียว เพราะก็คงเป็นปัญหาใต้พรมที่หลายๆบ้าน ผู้ดูแลต้องรับกันอยู่ แค่ไม่พูด(ที่คนอื่นคงจะเรียกว่า “บ่น” ออกมา
วิธีหลักๆคงมีหลายวิธีที่หมออยากจะขอแนะนำ แต่ที่สำคัญ หากเป็นไปได้ คือ “คุยกันทั้งหมดในครอบครัวตั้งแต่ก่อนรับผู้ป่วยกลับบ้าน”
เนื่องจากหลายครั้งที่หมอแนะนำไป แต่แก้ไขไม่ได้ เพราะคนที่ไม่ได้ทำ ไม่ได้ช่วย เมื่อวันเวลาผ่านไป ญาติท่านอื่นก็ไม่ยินดีที่จะเปลี่ยนแปลง หรือให้ความช่วยเหลือ เมื่อที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจัดการได้ดี…นอกจากไม่ยอมรับรู้ปัญหา เมื่อผู้ดูแลหลักร้องขอความช่วยเหลือ ก็ยังเมินเฉยไป
4 คำแนะนำในการป้องกัน แก้ไข บรรเทาภาวะหมดไฟในการดูแล (Caregiver burnout)
1. แบ่งหน้าที่สมาชิกในครอบครัวให้ดี
เริ่มวางแผนการดูแล ตั้งแต่ระบุว่าในครอบครัวมีสมาชิก เป็นใครบ้าง หน้าที่ในการดูแลผู้ป่วยมีอะไรบ้าง ใครจะช่วยรับผิดชอบหน้าที่หลักเรื่องใด ตามที่ตนเองถนัด เช่น
- ช่วยด้านการดูแลชีวิตประจำวัน-อาบน้ำ-ทำความสะอาดผู้ป่วย
- ช่วยดูแลอาหาร ซึ่งจะมีทั้งอาหารรูปแบบปกติ อาหารอ่อน อาหารปั่นให้ทางสายยางให้อาหาร
- ช่วยจัดยาประจำตัวผู้ป่วย
- ช่วยด้านการจัดซื้อของใช้ที่จำเป็น
- ช่วยเมื่อมีนัดพาไปพบแพทย์ – สมาชิกในบ้านที่ขับรถเป็น เป็นต้น
นอกจากนี้เมื้อผู้ดูแลหลักต้องใช้เวลาในการใส่ใจดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุแล้ว งานส่วนอื่นเดิมที่สมาชิกในครอบครัวท่านนี้ทำอยู่เดิม สมาชิกท่านอื่นก็ควรช่วยกันแบ่งเบาเพิ่มขึ้นด้วย เช่น ช่วยทำความสะอาดบ้าน ช่วยดูแลหลานตัวเล็ก เป็นต้น
2. ผู้ดูแลหลัก ต้องมีเวลาส่วนตัวเป็นของตนเอง
เวลาส่วนตัวของผู้ดูแลควรจัดแบ่งไว้ตั้งแต่เริ่มต้น อย่าปล่อยให้ผู้ดูแลหลักอยู่ในสถานการณ์ที่ ต้องเป็นคนขอร้องให้คนอื่นมาช่วยดูแลผู้ป่วยแทนตน
การดูแลผู้ป่วย ที่มีภาวะพึ่งพิง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยอัมพฤกษ์อัมพาฒ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยติดเตียง เป็นงานที่หนัก เหนื่อยทั้งกาย เครียดทั้งใจ นอกจากต้องดูแลความต้องการของผู้ป่วยแล้ว ยังต้องรองรับความเครียด กระวนกระวายจากตัวโรคของผู้ป่วยอีก…
การได้รับเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ ให้ผู้ดูแลมีเวลาส่วนตัว ไปใช้ชีวิตประจำวันของตัวเอง ได้ผ่อนคลาย ออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงเช่นกัน เป็นเรื่องที่ควรได้รับความสำคัญ ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดความเหนื่อยล้า burnout ไปเสียก่อนจึงเริ่มจัดการ
หากเปรียบเสมือนคนทำงาน ทำงาน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน มีเวลาไปพักผ่อนช่วงเย็น เสาร์-อาทิตย์หยุดพักผ่อนได้ วันหยุดราชการ วันหยุดตามเทศกาลสามารถพักผ่อนได้ >> การดูแลผู้ป่วยที่เป็นงานหนักอึ้งนี้ ก็ต้องแบ่งผู้ดูแล ช่วงเช้าถึงเย็น และช่วงกลางคืน ช่วงวันธรรมดาและช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เช่นกัน
การแบ่งเวลาให้เหมาะสมจะลดความเครียดในการดูแล ช่วยให้สามารถกลับมาดูแลผู้ป่วยได้อย่างสดชื่น เหมือนได้รีเฟรชมาแล้ว กรณีที่ผู้ดูแลหลักเป้นลูกจ้างประจำ การที่นายจ้างยินดีให้ลูกจ้างที่ดูแลผู้ป่วยที่เรารัก ได้วันพักผ่อน เวลาพักผ่อนอย่างเหมาะสม ก็ย่อมช่วยให้ประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยดีขึ้น ผู้ป่วยได้รับการเอาใจใส่ ไม่ทอดทิ้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่สนใจผู้ป่วย หรือการทำร้ายร่างกายผู้ป่วยแบบแฝงได้
3. ยอมรับให้คนนอกครอบครัวช่วยแบ่งเบา
คนนอกครอบครัวในความหมายของหมอ หมายถึง การจ้างผู้ดูแลที่บ้าน หรือ ฝากผู้ป่วยที่สถาณพยาบาล ศูนย์ดูแลผู้ป่วย ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ชั่วคราวหรือระยะยาว เพราะหากทำตามข้อ 1-2 มาแล้ว เชื่อว่าสมาชิกทุกคนในบ้านก็ได้ช่วยกันแบ่งเบาการดูแลผู้ป่วยแล้ว ในลำดับถัดไปหากมีความจำเป็น เช่น
หากผู้ดูแลติดธุระ ไม่มีสมาชิกในบ้านคนใดสะดวกวันนั้นๆที่จะมาช่วยงานแทน อาจต้องฝากผู้ป่วยให้ผู้อื่นมาช่วยงานแทนชั่วคราว
หรือว่าหากการดูแลเกินกำลังแล้ว (ไม่ว่าจะด้านทักษะ เช่น ต้องการการดูแลที่มากขึ้น ต้องดูดเสมหะบ่อย ต้องดูแลแผลติดเตียงขนาดใหญ่ หรือปัญหาทุพพลภาพที่เพิ่มขึ้นจากการติดเตียงมานาน)
ก็อาจต้องยอมรับและปรึกษาสมาชิกทุกคนในบ้านอีกครั้ง ว่าการดูแลอย่างดี ด้วยพละกำลังของสมาชิกทุกคนในบ้านในปัจจุบัน ผู้ป่วยอาจไม่สามารถได้รับการดูแลที่เหมาะสม เพียงพอ
การให้ผู้ที่มีทักษะทางการพยาบาลที่สูงขึ้นช่วยดูแลอาจเป็นทางออกที่ดีกว่า เป็นต้น
4. เข้าร่วมชมรมกลุ่มผู้ดูแล (caregiver)
ปัจจุบันสังคมเปิดกว้างมากขึ้นในการแลกเปลี่ยนความเห็น แลกเปลี่ยนความช่วยเหลือระหว่างผู้ที่ต้องประสบเจอสถานการณ์คล้ายกัน เช่น เข้าร่วมกลุ่ม ชมรมผู้ป่วยติดเตียง ชมรมโรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น เพื่อพูดคุย พบปะสังสรรค์ เป็นกำลังซึ่งกันและกัน ไม่ให้ผู้ดูแลต้องรู้สึกว่าโดดเดี่ยว เผชิญกับปัญหานี้เพียงคนเดียว
อันเป็นต้นกำเนิดความคิดว่า “ทำไมตนเองต้องเป็นคนมารับภาระนี้?”
การเข้าชมรมเพื่อนผู้ดูแลผู้ป่วย นอกจากบรรเทาความเครียด ได้กำลังใจแล้ว อาจได้รับคำแนะนำในการแก้ปัญหาของตนเอง ทิปส์การดูแลผู้ป่วย การจัดการปัญหาเล้กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
เข้าร่วมกลุ่มเปิด “ฟื้นฟูสโตรกกับหมอมิ้นท์” กลุ่มที่หมอมิ้นท์ พญ. วรัชยา วลัยลักษณาภรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวด้านโรคสมองและหลอดเลือดสมอง ตั้งใจสร้างขึ้น ให้เป็นสังคมของการสนับสนุน ดูแล ฟื้นฟูโรคสมอง สโตรก และผู้สูงอายุ
ฝากกำลังใจให้คนดูแล
ก่อนจากกันในบทความนี้… หมออยากฝากกำลังใจให้ผู้ดูแลผู้ป่วยทุกท่าน
อย่าเก็บความรู้สึกเหนื่อยท้อเหล่านี้ไว้คนเดียว เพราะการแบกรับภาระหนักอึ้งเพียงลำพัง ย่อมนำไปสู่ภาวะ “หมดไฟ” เหมือนเปลวไฟที่ค่อยๆ มอดลง สูญเสียพลังใจในการดูแลคนที่เรารัก สูญเสียความตั้งใจดีที่เราอยากจะดูแลเขาให้ดีที่สุด
ลองเปิดใจ พูดคุย แบ่งปันความรู้สึกกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว เพื่อน ชมรมผู้ดูแล หรือแพทย์ประจำตัวของผู้ป่วย เปรียบเสมือนการโยนห่วงยางแห่งความหวัง ช่วยให้เรากลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
การดูแลผู้ป่วยเรื้อรังหรือผู้สูงอายุทุพพลภาพ เปรียบเสมือนการเดินทางไกล ย่อมมีอุปสรรคและความท้าทายมากมาย แต่หากเรามี “กำลังใจ” “ความเข้าใจ” และ “การช่วยเหลือ” จากคนรอบข้าง หมอเชื่อว่า ผู้ดูแลและครอบครัวจะสามารถก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปพร้อมกัน
บทความโดย
หมอมิ้นท์ พญ.วรัชยา วลัยลักษณาภรณ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท
สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลทางบ้านที่มีคำถาม หรือสงสัยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคสมอง โรคเส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดสมองแตก ผู้ป่วยโรคสมอง และผู้ป่วยติดเตียง สามารถส่งข้อความคำถามได้ที่เพจ Viva Wellness หรือทางไลน์ @VivaWellness นะคะ หมอและทีมหมอหลายๆท่านจะทยอยตอบคำถามให้ค่ะ
