3 เหตุผลหลักที่ทำให้ผู้ป่วยย้ายไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย-ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ทุกคนคาดหวังว่าพ่อแม่ ผู้สูงอายุที่เรารักจะสุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยไม่ไข้ แต่เมื่อคนที่เรารัก คนในบ้านเจ็บป่วยกะทันหัน ต้องกลายเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง ต้องออกจากโรงพยาบาลแบบ เดินเหินได้ไม่สะดวก สื่อสารลำบาก ต้องมีอุปกรณ์การแพทย์ติดตัว
เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจว่าจะให้ผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้าน ดูแลกันเองในครอบครัว หรือ ให้ผู้ป่วยไปพักฟื้น ฟื้นฟูที่ศูนย์ดูแล มักเป็นการตัดสินใจที่ลำบาก ญาติผู้ป่วยหลายท่านที่สามารถตัดสินใจในหน้าที่การงานได้อย่างคล่องแคล่ว ใช้เหตุใช้ผล เมื่อต้องมาเจอกับเรื่องที่ไม่ใช่แค่เหตุผลจะสามารถตอบโจทย์ได้
บางครั้งก็ไม่ทราบว่าจะต้องคิดอย่างไร ภาพเหตุการณ์ในอนาคตจะเป็นอย่างไร วันนี้หมอจึงขอมาแชร์ 3 เหตุผลหลัก ที่ผู้ป่วยและญาติมักใช้ตัดสินใจร่วมกัน สำหรับครอบครัวที่เลือกที่จะให้ ผู้ป่วยย้ายไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลผู้ป่วย-ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เป็นแนวทางให้อ่านกันค่ะ
เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
- ไม่มีผู้ดูแลหลักในบ้าน
- มีสภาวะความเจ็บป่วยหนัก ต้องการการดูแลที่มีทักษะสูง
- ต้องการให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เต้มที่หลังเจ็บป่วยฉับพลัน
1. ไม่มีผู้ดูแลหลักในบ้าน
ในปัจจุบัน สภาพสังคม โดยเฉพาะในกรุงเทพและจังหวัดปริมณฑลเป็นครอบครัวเดี่ยว ผู้สูงอายุอยู่แยกบ้าน หรือ แยกคอนโดกันกับลูกหลาน มีลูกจำนวนน้อยลง และมีลูกเมื่ออายุมากกว่าอดีต ทำให้ผู้สูงอายุใน 60-80ปี ซึ่งเป็นช่วงถดถอย มีความเจ็บป่วยเพิ่มขึ้นตามวัย มักมีลูกอยู่ในช่วงวัยทำงาน อายุประมาณ 30-40ปี เพิ่งแต่งงาน สร้างครอบครัว รุ่นลูกมีค่านิยมที่จะมีบ้านเดี่ยว/ห้องคอนโดหรืออพาร์ทเมนท์ส่วนตัว ที่แยกออกไปเป็นครอบครัวเดี่ยว
เมื่อผู้สูงอายุที่เคารพรัก พ่อแม่ของตนเจ็บป่วย การย้ายผู้ป่วยกลับมาดูแลที่บ้านของลูกหลาน ในสภาพบ้านที่ไม่เอื้ออำนวย เช่น ห้องนอนอยู่ชั้น 3 อีกทั้งผู้ดูแลยังต้องทำงานประจำ ช่วงกลางวัน และรับผิดชอบชีวิตคู่สามีภรรยา บุตรของตน จึงกลายเป็นเรื่องยากและท้าทายมาก
คงต้องกล่าวว่า จากความเห็นของผู้ป่วย ผู้สูงอายุ ไม่มีใครอยากย้ายไปอยู่ศูนยพักฟื้นหรือศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เกินกว่าครึ่งที่อยากใช้ชีวิต แก่เฒ่าไปในบ้านเดิมของตน ไม่อยากเปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัย
และเช่นกัน จากความเห็นของบุตรหลานผู้ดูแล ก็ไม่มีใครอยากให้พ่อแม่ ผู้สูงอายุในบ้านไปอยู่ศูนยพักฟื้นหรือศูนย์ดูแลผู้ป่วย ผู้สูงอายุ หากไม่มีความจำเป็น
แต่จากสภาวะครอบครัว หน้าที่ การงานปัจจุบัน การตัดสินใจเลือกศูนย์ดูแลที่ดี มีคุณภาพ ดูแลคนที่เรารักเสมือนอยู่บ้าน มีการดูแลทางการแพทย์ อาหาร การออกกำลังกาย กิจกรรมสำหรับผู้ป่วย ผู้สูงอายุ จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยแบ่งเบา ให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดี ในช่วงต้นของการเจ็บป่วย หรือต่อเนื่องหากมีความจำเป็น
2. มีสภาวะความเจ็บป่วยหนัก ต้องการการดูแลที่มีทักษะสูง
จากแพทย์/พยาบาลต่อ
ผู้ป่วยหนัก ผู้สูงอายุที่มีความเปราะบาง หลังออกจากโรงพยาบาล บางท่านอาจมีสภาวะร่างกายที่เปลี่ยนไป เช่น
- มีปัญหาด้านการกลืน ทำให้ต้องรับอาหารทางสายยาง จำเป็นต้องมีสายยางให้อาหารทางจมูกหรือหน้าท้อง วันละ 4 มื้อ ทุก 6 ชั่วโมง
- มีภาวะอ่อนแรงครึ่งซีก แขนขาขยับไม่ได้ อัมพฤกต์ อัมพาต
- ลุกช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องการการพลิกตัวทุก 2 ชั่วโมง เพื่อ “ป้องกันการเกิดแผลกดทับ-แผลติดเตียง”
- ไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้ ต้องปัสสาวะอุจจาระในผ้าอ้อมผู้ใหญ่(แพมเพิส) ต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมผู้ใหญ่ทุก 4-6 ชั่วโมง
- มีท่อเจาะคอตามมาจากปัญหาทางการหายใจ ติดเชื้อปอดอักเสบ
- ไม่สามารถหายใจด้วยตนเองได้ จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องพ่นยา ทุก 6 ชั่วโมง เป็นต้น
หากลองคิดภาพตาม… การดูแลผู้ป่วยที่มีสภาวะความเจ็บป่วยหนักทั้งด้านอาหาร ความเป็นอยู่ การขับถ่าย ยารักษาโรค ผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลแล้วยังคงต้องอยู่ในการดูแลการพยาบาลหลายด้าน ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนสภาวะเดิม นับว่าเป็นการดูแลที่หนักมาก โดยเฉพาะกับลูกหลานที่ไม่ได้มีทักษะด้านการดูแลผุ้ป่วย การพยาบาลผู้ป่วยมาก่อน หลายๆบ้าน ลูกหลาน คู่สามีภรรยาจึงตัดสินใจร่วมกับผู้ป่วยในการย้ายไปอยู่ศูนย์ดูแล
3. ญาติต้องการให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เต้มที่หลังเจ็บป่วยฉับพลัน
หลายครั้งที่หมอพบเจอ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรค ซึ่งเป็นโรคฉุกเฉินเฉียบพลัน ไม่มีการวางแผน คาดคิดมาก่อน ต่างจากผู้ป่วยกลุ่มโรคอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่ต้องการพักฟื้นฟื้นฟู ซึ่งจะมีกำหนดการผ่าตัด วันที่จะเข้า-ออกโรงพยาบาลชัดเจน ทำให้สามารถเตรียมการ วางแผนการดูแลหลังผ่าได้
ผู้ป่วยกลุ่มโรคหลอดเลือดสมอง หรือสโตรค เมื่อเข้าโรงพยาบาล มักใช้ระยะเวลารักษาตัวในโรงพยาบาล รวมถึงระยะเวลาฟื้นตัวอยู่ในโรงพยาบาล นานประมาณ 3-7 วัน (หากไม่มีอาการแทรกซ้อน) จากนั้นทีมแพทย์และพยาบาลจะมีการวางแผนจำหน่ายคนไข้ออกจากโรงพยาบาล เพื่อให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน ซึ่งสภาวะหลังออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยส่วนมากมักยังไม่หายดี
หากอาการตอนเข้าโรงพยาบาลเป็นน้อย
ก็อาจมีความทุพพลภาพจากการบาดเจ็บของเนื้อสมองน้อย แต่มักจะไม่หายดี100%
>> ผู้ป่วยและญาติอาจตัดสินใจร่วมกันให้ผู้ป่วยกลับไปพักฟื้น กายภาพฟื้นฟูต่อเนื่องที่บ้าน หากสามารถเรียนจากนักกายภาพที่โรงพยาบาลและกลับไปฝึกกันอย่างสม่ำเสมอต่อได้
>> แต่หากผู้ป่วยและญาติอยากฟื้นฟูอย่างเข้มข้น เพื่อเร่งระยะเวลาให้กลับมาปกติ-ใกล้เคียงปกติมากที่สุดในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้ป่วยและญาติก็อาจตัดสินใจไปพักฟื้นที่ศูนย์ดูแล/สถานพักฟื้นที่มีการกายภาพฟื้นฟูอย่างเข้มข้นก่อนในช่วงแรก
หากอาการตอนเข้าโรงพยาบาลเป็นหนัก
ความทุพพลภาพจากการบาดเจ็บของเนื้อสมองจะมากขึ้น มีโอกาสที่จะออกจากโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยที่ต้องมีภาวะพึ่งพิง (independent ADL)
>> หากผู้ป่วยและญาติอยากฟื้นฟูอย่างเข้มข้น เพื่อเร่งระยะเวลาให้กลับมาปกติ-ใกล้เคียงปกติ-ดีขึ้นให้มากที่สุด แม้อาจไม่กลับมาปกติ100% ก็มักจะเลือกการดูแลฟื้นฟูที่ศูนย์ดูแลที่มีคุณภาพ มาตรฐานการฝึกฟื้นฟูสูง มีการฝึกอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะใน Golden period 6 เดือนแรก หลังเจ็บป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือสโตรคเฉียบพลัน
การตัดสินใจร่วมกันของผู้ป่วยและญาติผู้ดูแล ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง สามีภรรยา บุตรหลานให้ผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิง 1. กลับบ้านหรือ 2. ไปอยู่ศูนย์ดูแลฟื้นฟู จึงเป็นการตัดสินใจที่ยาก ครั้งใหญ่ในชีวิต
การสอบถามข้อมูลและมองภาพในอนาคตว่า
- ผู้ป่วยจะออกจากโรงพยาบาลด้วยสภาวะอย่างไร
- ต้องการการดูแลมากน้อยแค่ไหน
- ใครจะเป็นผู้ดูแลหลัก
- ผู้ช่วยผู้ดูแลหลักเป็นใครบ้าง
- ต้องการการฟื้นตัวจากการเจ็บป่วยครั้งนี้เข้มข้นมากแค่ไหน
น่าจะเป็นการมองภาพไปในอนาคตที่ช่วยให้ผู้ป่วยและญาติเลือกทางออกสำหรับปัญหาครั้งใหญ่นี้ไปได้ หมอขอเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและญาติทุกท่านค่ะ
บทความโดย
หมอมิ้นท์ พญ.วรัชยา วลัยลักษณาภรณ์
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและระบบประสาท
สำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลทางบ้านที่มีคำถาม หรือสงสัยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วยโรคสมอง โรคเส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดสมองแตก ผู้ป่วยโรคสมอง และผู้ป่วยติดเตียง สามารถส่งข้อความคำถามได้ที่เพจ Viva Wellness หรือทางไลน์ @VivaWellness นะคะ หมอและทีมหมอหลายๆท่านจะทยอยตอบคำถามให้ค่ะ
